ตกขาว ผู้หญิงทุกคนเคยผ่านประสบการณ์ตกขาวมาแล้วทั้งนั้น ด้วยสรีระร่างกายของผู้หญิงเราจะมีการตกขาว ปกติซึ่งธรรมชาติสร้างมาเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ช่องคลอด แต่หากเป็นการตกขาวที่ผิดปกติ ก็มักจะทำให้ผู้หญิงเราเกิดความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว และอาจบ่งบอกถึงสัญญาณที่เกี่ยวกับโรคร้ายแก่ร่างกายของเราก็ได้ แล้วอาการตกขาวที่ผิดปกติมีอะไรบ้างนั้น วันนี้เรามาทำความรู้จัก อาการ สาเหตุ การรักษา อาการ ตกขาว เราไปดูกันเลยค่ะ
ตกขาว ระดูขาว หรือมุตกิด (Leukorrhea , Leucorrhea หรือ Vaginal discharge) คือ สิ่งที่คัดหลั่งที่มีลักษณะเป็นเมือกขาว จากอวัยวะในอุ้งเชิงกรานของผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นจากช่องคลอด ปากมดลูก หรือตัวมดลูกเอง ซึ่งเป็นภาวะปกติ ในช่วงวัยเด็กอาจมีเพียงเล็กน้อย เมื่อถึงช่วงวัยเจริญพันธุ์เริ่มมีประจำเดือน ตกขาวจะมากขึ้นและมีปริมาณที่พอเหมาะ จนถึงช่วงวัยสูงอายุ ปริมาณจะค่อยๆ ลดลงจนแทบไม่มีเลย สิ่งที่คัดหลั่งนี้จะช่วยสร้างความชุ่มชื่นให้กับบริเวณช่องคลอดและช่วยป้องกันการติดเชื้อภายในช่องคลอด
อาการ สาเหตุ และการรักษา ตกขาว
ลักษณะตกขาวที่อยู่ในภาวะปกติจะมีลักษณะใส ไม่มีสีหรือเป็นสีขาวข้นคล้ายแป้งเปียก ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีอาการคัน มีภาวะเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตโรน (Progesterone) แต่โดยทั่วไปแล้วปริมาณของตกขาวจะมากเป็นปกติในช่วงกลางของรอบประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์
ส่วนลักษณะตกขาวที่อยู่ในภาวะผิดปกติ จะมีสีที่ต่างไปจากเดิม คือ มีสีเหลือง สีเขียว สีเทา สีชมพู สีน้ำตาล หรือมีลักษณะข้นหรือจับตัวเป็นก้อน ปนหนอง เป็นมูกเลือด หรือเป็นฟองปนออกมาและมีกลิ่นคาวมากหรือกลิ่นคล้ายปลาเน่า ซึ่งเป็นติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ อาจมีอาการอื่นรวมด้วย เช่น มีอาการคันอวัยวะเพศ หรือมีอาการปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย หรือมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีอาการปวดท้องน้อย มีไข้ หรือมีอาการเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์
สาเหตุของการเกิดตกขาว
- ตกขาวเกิดจากการติดเชื้อ
– เชื้อรา มักจะเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ , อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ , เป็นโรคเบาหวาน , ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ , มีภูมิในร่างกายต่ำ , ติดเชื้อเอดส์
– เชื้อแบคทีเรีย มักจะเกิดในผู้หญิงที่มีการสวนล้างช่องคลอด หรือกินยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
– เชื้อโปรโตซัว (Protozoa) การติดเชื้อดังกล่าวอาจเกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์
นอกจากการติดเชื้อแล้ว ตกขาวที่ผิดปกติอาจเกิดจากโรคมะเร็ง ซึ่งโรคมะเร็งที่มักก่อให้เกิดอาการตกขาวผิดปกติคือโรคมะเร็งปากมดลูก
- ตกขาวที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื่อ อาจเกิดจากการใช้สบู่ล้างจุดซ่อนเร้นบ่อย ทำให้สารจากสบู่เป็นตัวที่ฆ่าแบคทีเรียชนิดดี เป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย หรือเกิดจากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในช่องคลอด
ลักษณะและอาการของตกขาว มีดังนี้
- ตกขาวสีเทา เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis) ทำให้ตกขาวมีปริมาณมากขึ้น สีขาวปนเทาอ่อน มีกลิ่นคล้ายกลิ่นปลาเค็ม มักไม่พบอาการเจ็บป่วยอื่นร่วมด้วย แต่บางรายอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด และเจ็บช่องคลอดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวเป็นก้อน เกิดจากการติดเชื้อรา Candida albicans มีลักษณะเป็นก้อนคล้ายนมบูด เป็นสีขาวข้นหรืออาจเป็นสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นเหม็นอับแต่ไม่มีกลิ่นคาว มีอาการแสบคันในช่องคลอดหรือปัสสาวะแสบขัดเป็นบางคราว มีอาการบวมแดงที่อวัยวะเพศ
- ตกขาวสีเหลือง เป็นปัญหาตกขาวที่พบบ่อยสุดในผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น
– ติดเชื้อแบคทีเรีย ในบางรายตกขาวเป็นสีเหลืองขุ่น มีกลิ่นคาวปลา อาจมีอาการคันร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ติดเชื้อหนองใน ทำให้ตกขาวมีปริมาณมาก เป็นหนองสีเหลืองหรือมีสีเขียวปน มีกลิ่นเหม็น ไม่คัน อาจมีอาการปัสสาวะแสบร่วมด้วย
– ติดเชื้อรา มีอาการเช่นเดียวกับตกขาวเป็นก้อน
– ติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม ซึ่งเกิดจากการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ มีตุ่มใสขนาดเล็กและจะแตกออกทำให้เป็นแผลและแสบคัน มีกลิ่นที่ผิดปกติ
– ติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ปกติการติดเชื้อชนิดนี้จะเป็นสีเขียว แต่ในบางกรณีอาจตกขาวเป็นสีเหลืองได้
- ตกขาวสีเขียว เกิดจากการติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด เป็นพวกโปรโตซัวที่เรียกว่า ทริโคโมแนส วาจินาลิส (Trichomonas vaginalis) มักติดเชื้อมาจากเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีอาการคันรอบช่องคลอด แสบแดง เจ็บที่อวัยวะเพศ อาจมีปัสสาวะแสบขัด มีกลิ่นเหม็นออกเปรี้ยวเล็กน้อย และมีตกขาวลักษณะที่เป็นฟอง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเชื้อชนิดนี้
- ตกขาวสีน้ำตาลหรือตกขาวปนเลือด เกิดจากการติดเชื้อที่ปากมดลูกหรือช่องคลอดหรือผนังมดลูกลอกตัวช้า สามารถพบได้หลังช่วงที่มีประจำเดือน หากไม่มีอาการแสบคัน มีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย ก็ถือว่าอยู่ในภาวะตกขาวที่ปกติ
- ตกขาวสีชมพู มักพบในผู้หญิงหลังคลอด เกิดจากการลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกนั่นเอง หรืออาจเป็นสีของเลือดล้างหน้าเด็ก ซึ่งมักจะเป็นสีชมพูจางๆ
- ตกขาวมีกลิ่นที่แรง เกิดจากการความเป็นกรดด่างในช่องคลอดมีความไม่สมดุลกัน ทำให้มีเชื้อแบคทีเรียชนิดไม่ดีมากกว่าชนิดดี หากมีอาการคัน รู้สึกเจ็บปวด หรือมีอาการปัสสาวะแสบขัด ควรรีบพบสูตินรีแพทย์ดีกว่า เพราะอาจส่งผลทำให้เกิดโรคอักเสบเรื้อรังภายในได้
- ตกขาวแป้งเปียก เกิดจากการติดเชื้อราในช่องคลอดหรืออาจเกิดกับผู้หญิงที่รับประทานยาบางชนิด ซึ่งมักจะมีอาการคันช่องคลอด บวมแดง รู้สึกเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่มีกลิ่นเหม็น
วิธีการรักษาและยาแก้ตกขาว
หากเป็นการตกขาวปกติ สามารถดูแลรักษาความสะอาดให้ถูกสุขอนามัยได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ แต่ถ้าหากเป็นการตกขาวที่ผิดปกติและมีอาการอื่นร่วมด้วย ไม่ควรซื้อยามารักษาเองเพราะอาจกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังจากเชื้อดื้อยา แนะนำว่าควรไปพบสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจภายในช่องคลอดและรักษาตามสาเหตุที่พบ
ซึ่งยาที่ใช้ในการรักษาอาการตกขาวผิดปกตินั้น มีทั้งชนิดรับประทาน ชนิดใช้ทาเฉพาะที่ และชนิดเหน็บช่องคลอด ซึ่งมีดังนี้
– ชนิดรับประทาน ได้แก่ ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) , คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) , ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) , เมโทรไนดาโซล (Metronidazole) , คลินดามัยซิน (Clindamycin) , ยาผสมอะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) กับกรดคลาวูลานิก (Clavulanic acid)
– ชนิดทาเฉพาะที่ ได้แก่ เมโทรไนดาโซล (Metronidazole gel) , คลินดามัยซิน (Clindamycin cream) , โคลไตรมาโซล (Clotrimazole cream) , ไมโคนาโซล ( Miconazole cream)
– ชนิดเหน็บช่องคลอด ได้แก่ โคลไตรมาโซล (Clotrimazole vaginal tablets) , ไนสแตติน (Nystatin vaginal tablets)
นอกจากยาปฏิชีวนะแล้วยังมีสมุนไพรที่สามารถรักษาอาการตกขาวได้ เช่น กระชายดำ, กุยช่าย, ถั่วฝักยาว, ว่านชักมดลูกตัวผู้, เห็ดหูหนู และอีกมากมาย
อาการตกขาวนั้น เมื่อหายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ดังนั้นเพื่อความสบายใจของคุณผู้หญิง มีวิธีการป้องกันง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
– หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด
– หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน และควรเพิ่มความปลอดภัยด้วยการให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัย
– รักษาความสะอาดช่องคลอดและอวัยวะเพศอยู่เสมอ
– สวมใส่กางเกงชั้นในที่สะอาด
– ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ ก่อนการใช้งานเพื่อป้องกันการติดเชื้อต่างๆ